ภาวะไขมันเกาะตับ พบทางออกด้วย GEL PLUS UMI
บางคนมองว่า การจะวัดว่าใครอ้วนหรือไม่ วัดด้วยสายตาโดยดูจากรูปร่าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การจะบอกว่าอ้วนหรือไม่ จะต้องใช้ดัชนีมวลกายเป็นตัวบอก คนต่างชาติ(อเมริกา)จะบอกว่าอ้วนเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 30 ส่วนชาวไทยจะบอกว่าอ้วนเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 25 โดยพบว่าผู้ที่เป็นเบาหวาน ไขมันสูงและอ้วนจะมีโอกาสเป็นโรคไขมันพอกตับ มีการประเมินว่าสามารถพบโรคไขมันพอกตับได้ร้อยละ 20 ของประชากร
ส่วนกลุ่มเสี่ยงเช่นคนอ้วนที่เป็นเบาหวาน ไขมันสูง พบว่าไขมันพอกตับได้ถึงร้อยละ 90 ต่างประเทศได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของดัชนีมวลกาย และความเสี่ยงของการเกิดไขมันพอกตับไว้ดังนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลกายและความเสี่ยงไขมันพอกตับเมื่อเทียบกับคนปกติ
ดัชนีมวลกาย | ความเสี่ยง |
---|---|
25-30 | 2 |
30-35 | 4 |
35-40 | 5 |
มากกว่า 40 | 6 |
ดัชนีมวลกาย
ความเสี่ยง
25-30
2
30-35
35-40
มากว่า 40
4
5
6
สำหรับผู้หญิงก็มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดดังนี้
ดัชนีมวลกาย | ความเสี่ยง |
---|---|
25-30 | 2 |
30-35 | 2.5 |
35-40 | 4 |
มากว่า40 | 5 |
กลไกการเกิดไขมันพอกตับ
ในคนปกติระดับน้ำตาลจะถูกควบคุมโดยอินซูลินซึ่งผลิตมาจากตับอ่อน เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมากมากขึ้น โดยอินซูลินจะออกฤทธิ์ที่ตับ กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมันเพื่อให้ใช้น้ำตาล
ในภาวะที่ดื้อต่ออินซูลินซึ่งอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือจากพฤติกรรมเช่น อ้วน ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันมาก จะทำให้เซลล์ต่างๆไม่ตอบสนองต่ออินซูลินในขนาดปกติ ทำให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เมื่อภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอจึงเกิดโรคเบาหวานชนิดที่2 ซึ่งเมื่อเป็นมากจนกระทั่งต้องฉีดอินซูลิน
ภาวะดื้อต่ออินซูลินเกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เมื่อโตขึ้นร่างกายอ้วนขึ้นรับประทานอาหารที่มีแป้งเพิ่มขึ้นรวมทั้งไม่ได้ออกกำลังกายทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตับมีการสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้น
อาการของไขมันพอกตับ
อาการของไขมันพอกตับทั้ง NAFLD และ NASH จะเหมือนกัน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หรือในบางรายอาจจะมีอาการปวดแน่นชายโครงข้างขวาค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนั้นอาจจะพบว่าเป็นเบาหวาน อ้วน ไขมันในเลือดสูง
แต่เมื่อกลายเป็นตับแข็งก็จะเกิดอาการของตับแข็ง อาการทั่วไปมีดังนี้
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ไม่มีแรง
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดชายโครงข้างขวา
- ตับโต
- ปัสสาวะเหลืองเข้ม
การวินิจฉัยโรคทำได้อย่างไร
ส่วนใหญ่จะพบโดยบังเอิญ ด้วยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ พบว่า มีค่า SGPT, SGOT สูง โดยที่ค่าอื่นปกติ และเจาะเลือดตรวจไม่พบหลักฐานการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือมีประวัติการดื่มสุรา ประวัติการใช้ยาอย่างต่อเนื่องของยากลุ่ม prednisone, amiodarone (Cordarone), tamoxifen (Nolvadex), methotrexate (Rheumatrex, Trexall), and nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDS).
การตรวจ ultrasound ก็จะช่วยในการวินิจฉัยโรคตับได้
สรุปการวินิจฉัยไขมันเกาะตับต้องประกอบไปด้วย
- มีอาการหรืออาการแสดงว่าเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
เช่น อ้วนโดยมีดัชนีมวลกายมากกว่า 25
รอบเอวมากกว่า 36 นิ้วในชาย 32 นิ้วในหญิง - triglyceride >150 mg%,ความดันโลหิตสูง
- ตรวจตับพบว่าค่า SGOT, SGPT สูง
- ตรวจ ultrasound พบลักษณะเหมือนตับแข็ง ต้องแยกโรคอื่น เช่น ตับอักเสบบี สุรา ยา
- การเจาะตับเพื่อการวินิจฉัยยังไม่เป็นที่ตกลงว่าสมควรจะทำเมื่อใดเพราะการรักษายังไม่มียาเฉพาะ
การรักษา
- การควบคุมน้ำหนักให้เข้าสู่เกณฑ์ปกติ
- การออกกำลังกาย
- การรักษาไขมันในเลือดให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
การใช้ยารักษา
ในปัจจุบัน ยังไม่มียาที่รักษาได้ผลดีจริง แต่จะมียาที่ช่วยให้พอเห็นผล ได้แก่
- ยาที่เพิ่มความไวต่ออินซูลิน Insulin-sensitizing agents, เช่น pioglitazone และ rosiglitazone (Avandia), และ metformin (Glucophage)
- Anti-TNFa agents , such as infliximab (Remicade)
- ยาเพิ่มการไหลเวียนของเลือด such as pentoxifylline (Trental)
- ยาต้านอนุมูลอิสระ, เช่น vitamin E, betaine, and s-adenosylmethionine (SAMe).
แล้วคุณ จะทานยาไปทั้งชีวิตหรือไม่
ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเคสไขมันเกาะตับ
สั่งซื้อโดยตรงผ่านโทรศัพท์
โทร 087-661-2207 (เดียร์)
Line ID : @gelgood
(กรุณาใส่ @ ด้วย)
หรือ Click เพิ่มเป็นเพื่อน